top of page

ความหมายของวรรณกรรมถ้องถิ่น

วรรณกรรมท้องถิ่น  หมายถึง  วรรณกรรมที่ปรากฎอยู่ในท้องถิ่นภาคต่าง ๆ ของไทย  ทั้งที่เป็นลายลักษณ์  หรือมุขปาฐะ  ซึ่งแตกต่างไปจากวรรณกรรมแบบฉบับ  เพราะวรรณกรรมท้องถิ่นนั้นชาวท้องถิ่นสร้างขึ้นมา  ชาวท้องถิ่นใช้  (อ่าน, ฟัง)  และชาวท้องถิ่นเป็นผู้อนุรักษ์  โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง  รูปแบบของฉันทลักษณ์จึงเป็นไปตามความนิยมของท้องถิ่นนั้น ๆ
          วรรณกรรมท้องถิ่นมีเนื้อหาสาระ  และคตินิยมเกี่ยวกับพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่  เนื่องจากคนไทยทุกภาพในอดีตมีคตินิยมในการสร้างหนังสือถวายวัด  โดยเชื่อกันว่าจะได้อานิสงส์อย่างแรง  อีกประการหนึ่งวัดก็เป็นสำนักเล่าเรียนของกุลบุตร  กุลธิดาของประชาชน   ฉะนั้นการสร้างสรรค์วรรณกรรมท้องถิ่นยังมีส่วนให้นักเรียนได้ฝึกอ่านหรือทวบทวนนอกเหนือไปจากแบบเรียน (จินดามณี  ปฐมมาลา  ปฐม ก.กา)  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวรรณกรรมประเภทนิทานคติธรรม

๒.  ความเป็นมาของการศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น

          การศึกษาวรรณกรรมไทยนั้น  เราจะมาเริ่มศึกษากัน  เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๕  กล่าวคือมีการจัดตั้งโบราณคดีสโมสรขึ้น  เมื่อ  พ.ศ. ๒๔๕๐  ในครั้งนั้นได้รวบรวม  ชำระ  ซ่อมแซมวรรณกรรมที่กระจัดกระจาย  และมีการพิมพ์เผยแพร่  ซึ่งเป็นการอนุรักษ์วรรณกรรมโบราณของไทยไว้ได้ส่วนหนึ่ง  คณะกรรมการโบราณคดีสโมสรได้ศึกษารวบรวมวรรณกรรมที่ท่านมีประสบการณ์  คือรู้จักและเคยอ่านสมัยเล่าเรียน        ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวรรณกรรมที่แพร่หลายอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำ   คือ  ขุนนาง  นักปราชญ์  ราชบัณฑิต  ส่วนวรรณกรรมที่แพร่หลายอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน  หรือชาววัด  หรือในท้องถิ่นที่ห่างไกล  เข้าใจว่าท่านเหล่านั้นคงยังมิได้ศึกษารวบรวม  อีกประการหนึ่งในชั่วระยะเวลาอันสั้นที่จัดตั้งโบราณคดีสโมสรนั้น  ข้อมูลในส่วนกลางหรือราชสำนัก  คงมีมากเกินกว่าที่จะศึกษารวบรวมในระยะเวลาอันสั้น
          ในสมัยรัชกาลที่ ๖  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  ได้จัดตั้งวรรณคดีสโมสรขึ้น  เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗  คงจะสืบเนื่องมาจากโบราณคดีสโมสรนั่นเอง  คณะกรรมการชุดนี้ได้พยายามที่จะจัดจำแนกวรรณกรรม โดยพิจารณาว่าเป็นระยะเวลาใดควรแก่การยกย่อง  ในสมัยจัดตั้งวรรณคดีสโมสรนั้นเป็นระยะเวลาไม่นานนักก็สิ้นสมัยรัชกาลที่ ๖  จากนั้นก็ขาดแรงสนับสนุนการศึกษารวบรวมวรรณกรรม  จึงอยู่ในวงจำกัด  ยังมิได้ขยายขอบเขตไปศึกษาวรรณกรรมที่แพร่หลายอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน  ชาววัดและวรรณกรรมในท้องถิ่นที่ห่างไกล
          หลังจากนั้นเป็นต้นมารวมเวลาประมาณกึ่งศตวรรษ  กุลบุตร  กุลธิดาชาวไทย  ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนเฉพาะวรรณกรรมที่ได้ศึกษารวบรวมชำระกันในครั้งนั้นเท่านั้น  ไม่ปรากฎว่า  ได้มีการศึกษาชำระ  รวบรวมวรรณกรรมอื่น ๆ ให้กว้างขวางต่อไป  วรรณกรรมชาวบ้าน  ชาววัด  เหล่านั้นจึงถูกทอดทิ้งมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
          ต่อมาเมื่อราว  พ.ศ. ๒๕๐๒  สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้แนวคิดมาจากตะวันตกที่นิยมศึกษาเรื่องราวทางพื้นบ้าน  และเสนอเป็นวิทยากรในหลักสูตรเรียกชื่อว่า  Folklore  จึงนำวิธีการเหล่านั้นมาจัดเข้าในหลักสูตรระดับอุดมศึกษา  เรียกชื่อว่า "คติชาวบ้าน"  บ้าง  "คติชนวิทยา"  บ้าง
          จากการศึกษาวิชาสาขาคติชนวิทยานั้น  ทำให้เราทราบถึงแนวคิด  คตินิยม  ปรัชญาชีวิตของสังคมในท้องถิ่นต่าง ๆ ของไทย  ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างไปจากคตินิยม  ปรัชญาชีวิตและสังคมของภาคกลางเกือบสิ้นเชิง  ฉะนั้นจึงมีการศึกษาที่ลึกซึ้งลงไป  ในเอกสารท้องถิ่นต่าง ๆ จึงพบว่าในเอกสารท้องถิ่นเหล่านั้น  เป็นคลังของแนวคิด  ค่านิยมของสังคมท้องถิ่น  อันแอบแฝงอยู่ในรูปนิทานเหล่านั้น  ฉะนั้นจึงทำให้นักวิชาการในสาขาอื่น ๆ เริ่มตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของข้อมูลทางคติชนวิทยาโดยเฉพาะวรรณกรรม ประจวบกับ เมื่อช่วงปี พ.ศ.๒๕๑๐- พ.ศ.๒๕๒๐  นักศึกษาเริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้านการศึกษาวรรณคดี   โดยมีทัศนคติต่อวรรณคดีที่อยู่ในหลักสูตรระดับประถมศึกษา  มัธยมศึกษา และอุดมศึกษานั้น  เป็นวรรณคดีของชนชั้นสูง  หรือวรรณกรรมเพื่อรับใช้ศักดินา  ไม่ก่อให้เกิดแนวคิดสร้างสรรค์ใด ๆ  รังแต่ให้เกิดความเบื่อหน่าย
          ฉะนั้นเมื่อตอนปลายปี พ.ศ.๒๕๑๙  จึงมีการจัดรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่น  ในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา  ส่วนระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มีการเสนอให้อ่านวรรณกรรมท้องถิ่นของภาคต่าง ๆ เป็นหนังสืออ่านประกอบอยู่บ้าง 
  
๓.  ข้อแตกต่างระหว่างวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท้องถิ่น

          จากการศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่นของภาคเหนือ  ภาคอีสาน  ภาคใต้ และภาคกลางแล้ว  พบว่ามีรูปแบบต่างไปจากวรรณกรรมแบบฉบับอยู่มาก  ตามลำดับความใกล้ชิดกับรัฐบาลกลางหรือราชสำนักที่เป็นเช่นนี้  เพราะว่าพื้นฐานของสังคม  มโนทัศน์ของกวี  ตลอดจนบันทึกสภาพสังคมในสมัยที่กำเนิดวรรณกรรมนั้น ๆ ตามมโนทัศน์ของกวี  วิทย์  ศิวะศรียานนท์ (๒๕๐๔ : ๑๘๓)  กล่าวว่ากวีคนเดียวก็เปรียบเหมือน ๓ คน คือ นอกจากเป็นผู้แต่งหนังสือแล้ว  ยังเป็นหน่วยหนึ่งของคนรุ่นนั้น  และเป็นพลเมืองด้วย  เนื่องจากเหตุนี้ นอกจากจะต้องสังวรในอาชีพประพันธ์ของตนในฐานะที่เป็นกวี  ในฐานะที่เป็นหน่วยหนึ่งของคนสมัยนั้น  ก็ย่อมจะทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียกับเหตุการณ์ที่ตนเห็นตำตาประจักษ์อยู่แก่ใจหาได้ไม่  และในฐานะที่เป็นพลเมืองอีกเล่า  ก็จะต้องใส่ใจเหตุการณ์บ้านเมือง  ความเคลื่อนไหวของประเทศชาติ  ตลอดจนชนชั้นและอาชีพที่ตนเป็นหน่วยหนึ่งอีกด้วย
          กวีหรือผู้เขียนย่อมสอดแทรกสภาพของสังคมสมัยนั้น ๆ  ลงไปในวรรณกรรมที่เขาได้สร้างสรรค์  และในฐานะที่เป็นหน่วยหนึ่งของประชาคมนั้น  ย่อมจะใส่ความคิดเห็น  มโนทัศน์ของตนลงไปด้วย  แต่ในขณะเดียวกันในบทบาทของกวีหรือนักประพันธ์  จึงเสนอทัศนคติในบทบาทฐานะนั้นอีกด้วย  ฉะนั้นปัจจัยดังกล่าวข้างต้น  จึงมีส่วนสำคัญที่แยกรูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท้องถิ่นให้แตกต่างกัน
          เมื่อพิจารณารูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท้องถิ่นที่แตกต่างกันไปนั้น  ทำให้เห็นว่าวรรณกรรมแบบฉบับเป็นวรรณกรรมที่แพร่หลาย  และเจริญอยู่ในราชสำนัก  เริ่มตั้งแต่กวีผู้สร้างสรรค์  ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียน  พื้นฐานการศึกษาสูง  และอยู่ในฐานะเหนือกว่าทางด้านสังคม  ฉะนั้นค่านิยม  สภาวะของสังคม  จนทัศนะที่กวีสอดแทรกในวรรณกรรมนั้นจึงเป็นมโนทัศน์ของสังคมชั้นสูง  ซึ่งต่างไปจากวรรณกรรมท้องถิ่นที่กวีเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือภิกษุ  และอยู่ในภาวะของสังคมแบบชาวบ้านโดยทั่วไป  ฉะนั้นค่านิยม สภาวะของสังคม  และทัศนะที่กวีสอดแทรกลงไปในวรรณกรรมที่เขาสร้างสรรค์นั้นจะเป็นมโนทัศน์(คำบาลี  สันสกฤต)   หรือบทกวีนิพนธ์ที่ซับซ้อน  เช่น ฉันท์  ส่วนใหญ่จะใช้กวีนิพนธ์ที่นิยมในท้องถิ่นนั้น ๆ

  
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท้องถิ่น

วรรณกรรมแบบฉบับ
วรรณกรรมท้องถิ่น
๑.  ชนชั้นสูง  เจ้านาย  ข้าราชสำนัก มีสิทธิมีส่วนเป็นเจ้าของ
-         ผู้สร้างสรรค์ รวมถึงจดบันทึก คัดลอก
-         ผู้ใช้ (อ่าน, ฟัง
-         ผู้อนุรักษ์
-         แพร่หลายในราชสำนัก
๒.  กวีประพันธ์เป็นนักปราชญ์ ราชบัณฑิต หรือเจ้านาย  ฉะนั้น ค่านิยม มโนทัศน์ ที่เห็นสังคมสมัยนั้น จึงจำกัดอยู่ในรั้วในวังหรือมีการสอดแทรกสภาวะของสังคมก็เป็นแบบมองเห็นสังคมแบบเบื้องบน
1.    ชาวบ้านทั่วไปมีสิทธิเป็นเจ้าของ
-         ผู้สร้างสรรค์
-         ผู้ใช้
-         ผู้อนุรักษ์
-         แพร่หลายในหมู่บ้าน

๒.  กวี ผู้ประพันธ์ เป็นชาวพื้นบ้าน หรือพระภิกษุ สร้างสรรค์วรรณกรรมขึ้นมาด้วยใจรักมากกว่า"บำเรอท้าวไธ้ธิราชผู้มีบุญ"ฉะนั้นมโนทัศน์เกี่ยวกับสภาวะของสังคม  จึงเป็นสังคมชาวบ้านแบบประชาคมท้องถิ่น
๓.  ภาษาและกวีโวหารนิยมการใช้คำศัพท์บาลีสันสกฤต  โดยเชื่อว่าเป็นการแสดงภูมิปัญญาของกวีแพรวพราวไปด้วยกวีโวหารที่เข้าใจยาก

๔.  เนื้อหาส่วนใหญ่  มุ่งในการยอพระเกียรติ  ทั้งทางตรงและทางอ้อม  แต่ก็มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการผ่อนคลายทางด้านอารมณ์  และศาสนาอยู่ไม่น้อย
๕.  ค่านิยม  อุดมคติ  ยึดปรัชญาชีวิตแบบสังคมชาวพุทธ  และยกย่องสถาบันกษัตริย์อีกด้วย
๓.  ภาษาที่ใช้เป็นภาษาง่าย เรียบ ๆ มุ่งการสื่อความหมายเป็นสำคัญ     ส่วนใหญ่เป็นภาษาท้องถิ่นนั้น  ละเว้นคำศัพท์บาลี  สันสกฤต  โวหารนิยมสำนวนที่ใช้ในท้องถิ่น
๔.  เนื้อหาส่วนใหญ่มุ่งในทางระบายอารมณ์ บันเทิงใจ แต่แฝงคติธรรมทางพุทธศาสนา แม้ว่าตัวเอกของเรื่องจะเป็นกษัตริย์ก็ตาม    แต่มิได้มุ่งยอพระเกียรติมากนัก
๕.  เหมือนกับวรรณกรรมแบบฉบับ ยกย่องสถาบันกษัตริย์ แต่ไม่เน้นมากนัก


  

๔.  ประโยชน์ของการศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น

          ข้อมูลทางคติชนวิทยา  เป็นที่สนใจของนักศึกษาทางด้านมานุษยวิทยามาโดยตลอด  เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลเบื้องต้น  ที่สืบทอดกันมาในประชาคมท้องถิ่นต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านคติชนนั้น  ทำให้นักมานุษยวิทยาสามารถเข้าใจลักษณะของสังคม  ค่านิยม ปรัชญาชีวิต และวิถีทางแห่งชีวิต  ตลอดจนระบบของสังคมของกลุ่มชนนั้น ๆ  วรรณกรรมท้องถิ่นเป็นข้อมูลสำคัญในข้อมูลทั้งหลาย  ทางด้านคติชนวิทยา  ที่จะสะท้อนให้เห็นสภาวะของประชาคมนั้น ๆ เป็นอย่างดี

        ประโยชน์ในการศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น  สรุปได้ ๓ ประการ ดังนี้

          ๔.๑  ประโยชน์ทางด้านวิชาการ  ผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่นจะเข้าใจในสิ่งต่อไปนี้
              ๔.๑.๑  ปรัชญาชีวิตและสังคมของท้องถิ่น  อันเป็นพื้นฐานของสังคม เช่น ความเชื่อ คตินิยม  จารีตประเพณี  เป็นต้น             
              ๔.๑.๒  การจัดระเบียบสังคม  หรือการควบคุมสังคม  อันเป็นพันธกรณีของกลุ่มชนต้องประพฤติปฏิบัติ  เพื่อความสงบสุขของประชาคมนั้น ๆ  บทบัญญัติต่าง ๆ อันเป็นปทัสฐานของสังคมนั้นได้สั่งสอนสืบต่อกันมาโดยมิได้มีการจดบันทึกไว้  แต่ก็ปรากฎอยู่ในวรรณกรรมท้องถิ่นเหล่านั้น  ในข้อนี้ต้องเข้าใจร่วมกันว่า สังคมชนบทในสมัยอดีต  กฎหมายของของรัฐบาลกลางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการควบคุมสังคมมากนัก  แต่ปรัชญาพุทธศาสนา จารีต ความเชื่อ คตินิยม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของประชาคมจะมีบทบาทควบคุมสังคมอย่างยิ่ง     
              ๔.๑.๓  ประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่น  วรรณกรรมท้องถิ่นเป็นข้อมูลสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่น  โดยเฉพาะทางด้านการจัดระบบสังคมการควบคุมสังคมตลอดจนจารีตประเพณีของสังคมนั้น
              ๔.๑.๔  ภาษาถิ่น  วรรณกรรมท้องถิ่นโดยเฉพาะวรรณกรรมลายลักษณ์ที่ได้บันทึกไว้ตั้งแต่สมัยอดีตจำเป็นคลังแห่งคำภาษาถิ่น  ถึงแม้บางคำจะเลิกใช้ไปแล้วในปัจจุบัน  แต่ก็ยังปรากฎในเอกสารวรรณกรรมท้องถิ่นเหล่านั้น  นอกจากให้นักภาษาศาสตร์  ยังสามารถเห็นการคลี่คลายของคำภาษาไทยได้ดีจากเอกสารวรรณกรรมท้องถิ่นต่าง ๆ ของไทย
              ๔.๑.๕  เป็นการก้าวหน้าทางวิชาการ  การตระหนักถึงคุณค่าของวรรณกรรมท้องถิ่น จนได้มีการนำมาจัดอยู่ในหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา  ซึ่งมีแนวโน้มในการที่จะส่งเสริมการศึกษารวบรวมค้นคว้าวรรณกรรมท้องถิ่นเหล่านั้นให้กว้างขวางยิ่งขึ้น  อันเป็นปัจจัยสำคัญในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น  ซึ่งหมายถึงเอกลักษณ์ของชนชาติไทย
              ๔.๑.๖  เป็นการอนุรักษ์วรรณกรรมท้องถิ่นต่าง ๆ ของไทยไม่ให้สาปสูญก่อนภาวะอันควร

๔.๒. ประโยชน์ทางด้านปัจเจกบุคคล
                   ๔.๒.๑  เพื่อให้นักศึกษาหรือผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น  มีมโนทัศน์อันกว้าง  ยอมรับแนวคิด ปรัชญาชีวิตของชนทุกชั้น  ทุกท้องถิ่น ทุกสังคม
                   ๔.๒.๒  ผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น  จะทราบถึงความเป็นอัจฉริยะของบรรพบุรุษของตน และของท้องถิ่นอื่นอีกด้วย
                   ๔.๒.๓  ยอมรับแนวคิดของชนชาติต่างท้องถิ่น  ต่างสังคมและต่างยุคสมัย
              ๔.๒.๔  ได้รับประสบการณ์ของชีวิตกว้างขวางยิ่งขึ้น
              ๔.๒.๕  มีโอกาสได้เรียนรู้ภาษาถิ่น  วัฒนธรรมของท้องถิ่นอื่น ๆ อีกด้วย

๔.๓  ประโยชน์ทางด้านการเมืองการปกครอง
              ๔.๓.๑  ผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น  จะเกิดความรัก ความเข้าใจ ความภูมิใจในอดีตของท้องถิ่นที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่และท้องถิ่นอื่น ๆ ของคติด้วย  ซึ่งก่อให้เกิดชาตินิยม ภูมิใจในวัฒนธรรมของชาติ
              ๔.๓.๒  ผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่นจะเกิดความรักความเข้าใจในท้องถิ่นของตน  ผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น  จะตระหนักในคุณค่า และย่อมมีความหวงแหน
              ๔.๓.๓  ซึ่งจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์วรรณกรรมท้องถิ่นอีกด้วย
              ๔.๓.๔  ทำให้ความเข้าใจอันดีระหว่างชนในชาติ และย่อมมีความสมานสามัคคีกัน
              ๔.๓.๕  ก่อให้เกิดการพัฒนา ระบบสังคมของชาติย่อมมีทิศทาง โดยอาศัยระบบสังคมท้องถิ่น  ปรัชญาชีวิตในสังคมท้องถิ่น อันเป็นพื้นฐานในการพัฒนา

bottom of page